อันดับจะเรียงตามคะแนนความตั้งใจ ส่วนอีเมลล์รายละเอียดการทดสอบพี่แจ้งไปในอีเมลล์แล้วนะครับต้องทำอย่างไรบ้าง ใครไม่ด้รับแต่มีรายชื่อรบกวนลงชื่อบอกพี่ในบล็อค หรือ ทวิตเทอร์แล้วกันนะครับ :)
Mudleygroup
Tuesday, January 03, 2012
Thursday, December 29, 2011
open-close chart หัวใจการเทรดของเทรดเดอร์แนวหน้า
หัวใจการเทรดของเทรดเดอร์แนวหน้าหลายคนคือ open-close chart (กราฟที่ลบไส้แท่งเทียบออกไป เอาเฉพาะราคาเปิดและปิดมาทำเป็นแท่ง) และ เป็นเรื่องประหลาดที่มี chart แบบนี้ในโปรแกรมแนวหน้าหลายๆตัว แต่ไม่ว่าจะหนังสือเทคนิค หรือแม้แต่ Google กับไม่มีการสอนวิธีวิเคราะห์กราฟประเภทนี้ ใช้ตรรกะสองชั้นย้อนไปเราก็จะมองเห็นความกลัวลึกๆของคนที่ได้ประโยชน์จากศาสตร์นี้ ถ้าเราได้ประโยชน์เราก็ไม่อยากจะสอนคนอื่นเพื่อให้คนอื่นมาแย่งชิงผลประโยชน์จากเรา (Game theory concept)
ถ้าว่ากันตามหลักคณิตศาสตร์สถิติแล้ว open-close chart คือการตัดค่าความแปรปรวน จากชุดข้อมูลในกราฟที่เราใช้ออกไปนั่นเอง ซึ่งเราจะไม่ตัดค่าสูงสุดต่ำสุดออกไปกรณีราคาเปิดปิดสามารถยืนบนราคาเหล่านั้นได้ ซึ่งเป็นการยืนยันความสำคัยของชุดข้อมุลเหล่านั้น แต่ถ้าราคายืนไม่ได้แล้ว (ไม่ใช่ราคาเปิดปิด) ค่าสูงต่ำเหล่านั้น ที่เป็นไส้แท่งเทียนจะถูกตัดออกไปทันที ^ ^
Saturday, June 11, 2011
Friday, June 10, 2011
Farang seanson 1
มาแซวฝรั่งกันเล่นๆคลาเครียดครับ สร้างด้วยคำพูดง่ายๆนะครับ เพราะผมไม่เก่ง ENG เป็นทุนเดิมอยุ่แล้ว :)
Friday, May 27, 2011
Human Vs Machine
จริงๆผมตั้งใจจะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีน้องๆสงสัยว่าทำไมในกองทุนผมถึงต้องเน้นทำงานหนักทางด้าน Quant ด้วย และวางแผนงานด้านสงครามการเงินมานานหลายปี จนถึงต้องเข้าไปทำงานในเฮดจ์ฟันประเภท funds of fund เพื่อศึกษาระบบโมเดลของเฮดจ์ฟันรุปแบบต่างๆเท่าที่ความสามารถของสมองจะทำได้ เป็นต้น ถึงแม้ในยุคปัจจุบันเราอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญเท่าไรนัก แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตมันจะเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเราเพราะพวกนี้จะเติบโตมากขึ้นแล้วคอยฉกชิงเม็ดกำไรจากพวกเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนๆลองดูวิดีโอคร่าวๆ ไปก่อนนะครับ (จะได้เห็นว่าคงไม่ใช่แค่ผมที่ดูบ้าไปคนเดียว อิอิ) เดี่ยวผมว่างเมื่อไรจะมาอัพเดทเกี่ยวกับระบบของ Machine A.I. ต่างๆ ในเฮดจ์ฟันให้ฟัง แล้ว จุดอ่อนของแต่ล่ะระบบความคิดและผลกระทบของแต่ล่ะระบบเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้ในอนาคต ขอบคุณมากครับ :)
ต.ย. Model Portfolio MudleyGroup (ย้ำว่าแค่ตัวทดลองนะครับ) ที่ทำการวิเคราะห์โดย A.I ก่อนแปลผลลัพท์ออกมาให้ เทรดเดอร์ในทำตาม จริงๆเราไม่ได้คิดว่าปริมาณวอลุ่มจะเพิ่มขึ้นได้ขนาดนี้ เพราะเป็นแค่การทดลองในระดับต้น ก่อนทดลองดูผลในระดับ Global Macro อีกครั้งหนึ่ง
Tuesday, May 24, 2011
Reseed อุดมการณ์ ความฝัน และ White Knight 2 รุ่นแรกของ MudleyGroup
หลังจากที่ผมโพสท์เกี่ยวกับอุดมการณ์และความฝันของผมไปเมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับ MudleyGroup ซึ่ง ณ.ปัจจุบันนี้ ความฝันของผมก็ได้ก้าวสู่ Step ต่อมาแล้ว คือการสร้างสรรค์เหล่า อัศวิน (White Knight) ที่กล้าหาญในการไปต่อกรกับกองทุนฝรั่งในสงครามการเงินอันโหดร้าย แน่นอนว่าเหล่าอัศวินรุ่นแรกๆของพวกเรานั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างมาก และต้องเสียสละเวลาส่วนตัวของแต่ล่ะคน ซึ่งบางคนก็ยังล้มลุก หรืออาจจะยังจับดาบไม่ค่อยจะเป็น ถึงแม้ว่าเหล่าอัศวินแต่ล่ะคนนั้นต่างมีจุดหมายที่เข้ามาฝึกที่ MudleyGroup ที่ต่างกันอยุ่แล้วเป็นทุนเดิมในใจ แต่การที่ผมได้เห็นทุกคนสามารถรวมอยุ่ด้วยกันด้วยความสามัคคีเป็นกลุ่มก้อน ถึงแม้ในการฝึกฝนนั้นจะต้องต่อสุ้กันเองก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ทำให้ผมตระหนักถึงขีดพลังของคนไทย ซึ่งอย่างน้อยการสั่งสมกำลังของผมเพื่อประกาศสงครามกับกองทุนเฮดจ์ฟันฝรั่ง ก็สามารถมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า พวกเราจะทำสุดความสามารถจริงๆในสงครามครั้งนี้ เพื่อปกป้องอธิปไตยทางพรมแดนทุนนิยมของเราจากกองทุนฝรั่ง และแน่นอนหากกองทัพของพวกเราใหญ่ขึ้นนั้น เราก็จะประกาศรับอาสาสมัครเพิ่มเติมเพื่อแสดงถึงแสนยานุภาพของพวกเราคนไทยครับ ส่วนถ้าพวกเราไปไม่รอด การเสียสละของเหล่าอัศวินทุกคนนั้น ที่ทุ่มเททั้งกายและใจ จะยังคงเป็นฮีโร่สำหรับพวกเรา MudleyGroup ตลอดไป :)
ส่วนอันนี้เป็นการ Reseed ที่ผมเคยโพสท์ถึงความฝันของผมนะครับ
จริงๆอยากจะสร้างคำนี้ขึ้นมาแทนคำว่า Hedge fund เพราะสิ่งที่เราทำและค้นคว้ามานานสำหรับ MudleyGroup Capital นั้นน่าจะเข้าสู่ความหมายใหม่ในวงการการเงิน
จริงๆแล้ว MudleyGroup ตั้งขึ้นมาเนื่องจากมุมมองของผมในตอน 10 ปีที่แล้วว่ารุปแบบเกมส์การเงินของโลกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่จะเป็นผู้นำโลกจะไม่ใช่มหาอำนาจทางเทคโนโลยีทางการทหารเช่นเคย แต่ผู้นำโลกนั้นจะอยุ่ในมือของผู้นำทางอาวุธทางการเงินแทน (financial weapons) และก็ไม่ใช่ผู้ที่มีเงินมากที่สุดจะเป็นผู้นำโลกได้เช่นกัน หากแต่เป็นผู้ที่สามารถสร้างและใช้อาวุธทางการเงินได้ทรงอนุภาพที่สุดนั่นเองที่จะเปลี่ยนแปลงรุปแบบของโลกในอนาคต
มา ณ. ปัจจุบัน เราคงได้เห็น วิวัฒนาการของเฮดจ์ฟันต่างๆที่มีบทบาทต่อ ระบบทุนนิยมสมัยใหม่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจากที่ผมได้อยุ่ในวงการได้เห็นและสัมผัสมาก็ทำให้เติมเต็มความเชื่อหลายๆอย่างของผมมากขึ้นถึงโลกในอนาคต และสิ่งที่ Mudley Group จะดำเนินการต่อไปนั้นล้วนเป็นเพียงดำเนินตามความฝันเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่คิดจะถูกต้องเสมอไป คราวนี้มาดู concept ของ mudleygroup กัน
Mudley Group Capital คือ Hedge Hunter Fund
Hedge Hunter Fund คือ กองทุนที่ล่ากองทุน Hedge Fund นั่นเอง เพื่อกำจัดเฮดจ์ฟันให้ลดลง เพื่อคงความสเถียรภาพของระบบการเงิน โดยมีอาการออกแบบ Financial Weapons ที่รุนแรง ซึ่งผมเรียกสิ่งที่คิดขึ้นมาว่า Financial Nuclear นั่นเอง โดยอาวุธนี้จะมีผลที่รุนแรงต่อกองทุนพวกที่เก็งกำไรแบบต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นฐานที่แท้จริงของเศรษฐกิจ เพราะผมคิดว่าการสร้างสถียรภาพทางเศรษฐกิจนั้นวิธีการจัดการกับการเก็งกำไรโดยการออกกฏหมายต่างๆแบบที่หลายๆรัฐบาลทำนั้นไม่ได้ช่วยลดทอนการเก็งกำไรลง หากแต่ช่วยส่งเสริมให้มีการเก็งกำไรมากขึ้นเพราะช่องว่างของกฏเกณฑ์ต่างๆที่ออกมา ดังนั้น วิธีการจัดการกับกองทุนพวกเก็งกำไรพวกนี้คือ ทุกครั้งที่เค้าเริ่มคิดจะเก็งกำไร เงินของเค้าจะถูกทยอยสูบออกไปจนหมด ซึ่งก็จะไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจในการเก็งกำไรอันมหาศาลเช่นในปัจจุบันอีกต่อไป
หลายคนอาจจะหัวเราะในความฝันและแนวคิดของ Mudley Group แต่ก็อย่างว่าล่ะครับนโยบายของพวกเราดำเนินตามความฝันมาโดยตลอดอยุ่แล้วตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ก็เป็นเด็กกะโปโลตัวเล็กๆ ความฝันที่อยากอยากเป็นเทรดเดอร์อาชีพ อยากทำงานในเฮดจ์ฟัน ซึ่งตอนนั้นก็มีแต่คนหัวเราะกันว่าคนเอเชียแบบเราโดยเฉพาะในไทยจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร พวกเราผิดพลาด ล้มลุกมาโดยตลอดอยุ่แล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะไม่สมหวังก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าทำได้มันก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของระบบการเงินของโลกเลยทีเดียวที่คนไทยคิดขึ้น ดังนั้นพวกเราเลยไม่มีอะไรที่ต้องอาย หรือกลัวในความฝันที่พวกเราอยากจะทำ เพราะถึงแม้มันจะไม่สำเร็จมันก็เป็นเพียงแค่ความฝันของคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อมีความไม่สมดุลของระบบการเงินโลก วิธีการจะสร้างสมดุลคือ เราจะต้องริเริ่มสร้างกองทุนที่ล่านักเก็งกำไรขึ้นมา เพื่อนำเงินที่ได้จากนักเก็งกำไรเหล่านั้น ไปช่วยเหลือพัฒนาระบบพื้นฐานทางสังคมก็จะช่วยคงดุลภาพของระบบทุนนิยมในระดับหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ระบบขาดสมดุลเพราะ เฮดจ์ฟันล่าส่วนต่างออกไปมากเกินไปจนเงินเหล่านั้นไม่ได้หมุนกลับเข้ามาสุ่ระบบเศรษฐกิจพื้นฐานเลย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเร่งให้ก่อปัญหามากมายที่เกิดขึ้นตามมาในปัจจุบันนี้ และนี่เองเป็นสาเหตุที่เราเผยแพร่โมเดลที่ปลอดภัยให้กับนักลงทุนหลายๆคน เพราะเมื่อไรถ้าโมเดลที่เราทำนั้นสำเร็จขึ้นมานักลงทุนที่ลงทุนตามหลักเหมาะสมก็จะไม่ได้รับผลกระทบเลยเปรียบเสมือนมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งก็จะมีแต่กองทุนหรือนักเก็งกำไรผู้ซึ่งมีความโลภเท่านั้นที่จะมลายไปเฉกเช่นโดนระเบิด Nuclear
ดูเหมือนนิทานเลยเนอะครับ ต้องใช้เวลาเช่นกัน จากวันนั้นมาถึงวันนี้กว่า mudleygroup จะขึ้นมาได้ก็ใช้เวลา 10ปี ดังนั้น ไม่รุ้ว่าต้องอีกนานเท่าไร เช่นกัน แต่พวกเราเป็นพวกปฏิบัตินิยมไม่ค่อยพูดมากเท่าไรทำไปเรื่อยๆ ถ้ามันสำเร็จเพื่อนๆทุกท่านก็จะได้เห็นมันเอง ถ้าไม่สำเร็จมันก็ไม่เกิดผล การพูดไปมากๆแต่แรกจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้นผมจึงแค่บอกแนวคิดและอุดมการณ์คร่าวๆให้เพื่อนๆทุกคนได้ฟังเฉยๆครับ อิอิ
Saturday, May 21, 2011
The Quants
ระยะหลังๆนี้ทางกองทุนของเราได้ใช้เวลาของกองทุนส่วนใหญ่ในการพัฒนาและปรับปรุงโมเดลเทรด ให้ทันสมัยขึ้น ทำให้หัวข้อในการสนทนาภายในกองทุนระยะหลังๆนั้นจะหนักไปทางด้าน Quantitative Analysis
หนึ่งในกระบวนการในการพัฒนาโมเดลนั้นก็คือการศึกษาแนวทางของผู้อื่นทำให้ เพื่อมองหาแนวคิดที่แตกต่างออกไป กระบวนการนี้ทำให้เราได้ทดสอบระบบของเราเองและ เปิดโลกทัศน์ที่แสนแคบของพวกเราให้กว้างขึ้น
เมื่อต้องมองแนวทางของคนอื่น เราก็อดไม่ได้ที่จะไปแอบมองสุดยอด idol ของพวกเรา ซึ่งก็คือ James Harris Simon นั่นเอง หากใครได้เคยอ่านประวัติของเขาแล้ว ก็จะเห็นผลประกอบการณ์ที่สุดยอดของเขา ทางเราเองยังพาลคิดไปได้เลยว่า เหรอนี่คือสุดยอด Madoff
ทั้งหมดมันเริ่มต้นด้วยความบังเอิญ ในขณะที่ทีม Quant กำลังระดมสองแสวงหาโมเดลใหม่อยู่นั้น ผู้จัดการของทุนของเราเกิดอาการนอนไม่หลับจึงไปขุดหนังสือเรื่อง The Quants: How a New Breed of Math Whizzes Conquered Wall Street and Nearly Destroyed It โดย Scott Patterson เจตนาแรกที่ทำให้อ่านก็หาอะไรอ่านก่อนนอนให้หลับง่ายขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่อ่านประวัติของ Quant ชื่อดังหลายๆคนก็มาเจอะกับบทที่พูดถึง Simons
ธรรมดาเรื่องราวของ Simons ไม่ค่อยมีเล็ดลอดออกมาสักเท่าไหร่ เมื่อได้เห็นบทที่เขียนถึง Simons ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ นอกจากพอที่จะคาดเดาวิธีการเอาชนะตลาดของ Simons ได้บ้างแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้ถึงความเหนื่อยยากเบื้องหลังความสำเร็จของ Simons ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามข้อมูลของ Simon ที่ Patterson ได้เรียบเรียงมานั้นได้มาจากการสัมพาทย์อดีตพนักงานของ Renaissance และ พนักงานปัจจุบันที่ขอสงวนออกนามเพียงเท่านั้น เพราะ Simons ไม่เคยตอบรับการขอสัมพาทย์ของ Patterson เลย แม้ว่า Patterson พยายามติดต่อไปหลายครั้ง
Simons มีความอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ซึ่งทำให้เขาสามารถจบปริญญาตรีจาก MIT ได้ภายในเวลาสามปี เดิมที Simons ทำงานเป็นคนถอดรหัสสำหรับหน่วยราชการลับในยุดสงครามเวียดนาม เขาถูกให้ออกเพราะได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวแก่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง ต่อมาได้ไปก่อตั้งภาควิชาคณิตศาสตร์ที่ State University of New York (SUNY) Stony Brook หลังจากที่สอนไปได้หลายปี และพัฒนาภาควิชาคณิตศาสตร์ของ Stony Brook (ในขณะนั้น) จนเป็นที่โด่งดัง เขาก็ลาออก พร้อมกับนักคณิตศาสตร์ในภาควิชาอีกจำนวนหนึ่ง มาก่อตั้งกองทุน ซึ่งกลายมาเป็น Renaissance Technology ในที่สุด กองทุนนี้เป็นกองทุนที่คุมเงินเป็นพันๆล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีคนทำงานไม่ถึงร้อยคน (แต่พนักงานส่วนใหญ่จบปริญญาเอกแทบทุกคน)
โมเดลในการเทรดของ Renaissance นั้นอาศัยวิชาความรู้เดิมจากการเป็นนักถอดรหัสของ Simons ผนวกกับความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่เขามี
หลังจากการก่อตั้ง Renaissance ได้สักพัก Simons ก็กว้านซื้อบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเรื่อง Voice Recognition และ Crytography (เป็นคณิตศาสตร์แขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัส)
Simons เคยให้สัมพาทย์ว่า ตลาดนั้นมี pattern แต่โชคดีสำหรับผมที่เป็น pattern ที่หาได้ยากมาก ซึ่งทางผู้เขียน (Patterson) ได้สันนิษฐานว่าการหา pattern ตลาดของ Simons นั้นอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดโดยใช้หลักการ Cryptography เพื่อจับ pattern ตลาดและอาศัย Voice Recognition ในการหา pattern ดังกล่าวในข้อมูลที่เกิดขึ้น
เมื่อได้รู้หลักการในการเอาชนะตลาดของ Simons พวกเราก็แทบไม่ได้หลับได้นอน
แต่ทว่าเรื่องราวของ Simons ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านบวกเท่านั้น เรื่องราวแปลกก็มีไม่น้อยเช่นกัน Simons เป็นคนที่หวงวิชาอย่างมาก (แค่ข่าวเกี่ยวกับตัวเค้าก็หาได้ยากแล้ว) ดังนั้น Simons จะทำทุกวิถีทางที่จะทำลายอาชีพการงานของลูกจ้างที่ลาออกจากกองทุนของเขา ถ้าไปสืบค้นใน wikipedia จะเห็นว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ยอมลาออกจากงาน ที่ให้เงินเดือนบวกโบนัสปีละหลายสิบล้านเหรียญ
พวกเราอดจะขำไม่ได้เมื่อได้รู้ว่า Renaissance มีนโยบาย Second 40 hours* ที่อนุญาติให้พนักงานนำ 40 ชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ส่วนที่สองไปทำงานในแผนกไหนก็ได้ในบริษัท
ความเครียดใน Renaissance เองก็ค่อนข้างสูง กล่าวกันว่าตั้งแต่ตั้งกองทุนมา Simons สามารถบริโภคบุหรี่ได้อย่างต่ำวันละสามซอง หุ้นส่วนที่ก่อตั้งกองทุนด้วยกันมาก็ต้องยอมลาออกเพราะทน กับความกดดันไม่ไหว เคสที่แย่ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นนักคณิตศาตร์ของกองทุนที่ ฆ่าภรรยาตัวเอง และฆ่าตัวตายตาม
Simons เป็น quant ที่หลบหลีกมรสุมทางการเงินได้เป็นอย่างดี เนื่องจากความรู้ความเข้าใจ ทางคณิตศาสตร์ของเขาลึกซึ้งพอ ที่จะมองออกว่า ความงามของสมการ ความงามของโมเดลทางคณิตศาสตร์นั้น (Guassian Bell Curve, EMH, CAPM, Black Scholes เป็นต้น) เอามาประยุกต์ใช้กับความโลภ ความโกลาหล ของมนุษย์ที่มาปฎิสัมพันท์ในตลาดไม่ได้
โมเดล ทฤษฎี หรือหลักการใดๆก็ตาม ต่อให้มีความงดงามทางคณิตศาสตร์เพียงใด มีความโด่งดังมากมายเพียงใด หากมันไม่สามารถที่จะทำเงินได้ มันก็ไม่มีธุระกงการใดๆใน Renaissance Technologies
*สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นกับระบบการทำงานในอเมริกา งาน full time โดยทั่วไปจะมีชั่วโมงการทำงานต่ออาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง
Subscribe to:
Posts (Atom)