Tuesday, April 12, 2011

“Financial weapons of mass destruction” สู่ยุคใหม่ทางการเงินของเฮดจ์ฟัน

หัวข้อนี้ผมขออนุญาตเอามาเล่าสู่กันฟัง ในปีนี้แล้วกัน ซึ่งผมได้บรรยายเรื่องนี้ไปในปีที่แล้วที่สิงคโปร์ เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันในเอเชียทั้งหลายตื่นตัว และหาแนวทางรับมือกับโมเดลใหม่ของกองทุนเฮดจ์ฟันฝรั่ง

เริ่มต้น Financial weapons   ผมขอเรียกว่าอาวุธทางการเงินแล้วกันนะครับ อาวุธทางการเงินนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากความบังเอิญ ของความผิดพลาดของเครื่องมือ ทางการเงินใหม่ๆ ที่เหล่า Prime Broker ได้คิดและสร้างขึ้นในจุดประสงค์ตอนแรกเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีและ ปราศจากความเสี่ยง ซึ่ง product เหล่านี้ กลับผิดพลาดและ กลับก่อให้เกิดความเสียหายในระดับที่คาดไม่ถึง กล่าวคือ มี ปฏิกิริยาลูกโซ่ในทาง ระบบทุนนิยมสูงมาก เมื่อเทียบกับ มูลค่า product ของตัวมันเอง แต่แน่นอนจุดเปลี่ยนเฮดจ์ฟัน  ที่ทำให้หันมาสนใจอาวุธทางการเงินมากขึ้นแทนแนวทางเก่าๆคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า  Blythe Masters  ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำทีมผู้พัฒนา Credit Default Swaps หรือที่เรารู้จักกันดีหลังจากเหตุการณ์ ซัพพราม ที่ผ่านมาว่า (CDSs) นั่นเอง




ดังนั้นความคุ้มค่า หรือ จุดเปลี่ยนให้กองทุนเฮดจ์ฟันหันมาพัฒนาอาวุธทางการเงินมันเริ่มจากตรงไหน ซึ่ง จุดเปลี่ยนได้เริ่มเมื่อ Jim simons ได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้ ก่อนที่เค้าจะเกษียรตัวเองไป ผมจะได้อธิบาย การมองภาพของเฮดจ์ฟัน ให้พวกเราเห็นภาพอย่างง่ายๆนะครับ เฮดจ์ฟันประเภทนี้ สร้างมาจากนักคณิตศาตร์ หรือ ไม่ก็ พวกนักฟิสิกส์ ดังนั้นพวกนี้จะมอง input and out put เป็นหลัก กล่าวคือยกตัวอย่างเช่น คุณใส่พลังงานไปเท่าไร คุณได้พลังงานจาก process นั้นออกมาเท่าไร หากมันออกมาต่างจากที่ใส่ไปในตอนแรกในปริมาณพอสมควร เราเรียกกันว่าความคุ้มค่า เพื่อให้เห็นภาพลองนึกโรงงานไฟฟ้าพลังงาน nuclear ดูครับ




ดังนั้นตาม Game Theory เมื่อมีความคุ้มค่าแล้ว ก็ย่อมเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับคนเหล่านี้เสมอ ทีนี้เมื่อมีความคุ้มค่า ทำไมเค้าถึงเรียกว่า อาวุธ ทางการเงินล่ะ ก็เพราะว่า มันมีผลกระทบเป็นวงกว้าง และ รุนแรงต่อผู้อื่นนั่นเอง โดยเฉพาะในตลาดทุนนิยม หากความมั่งคั่งของคนกลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับปริมาณมูลค่าผลผลิตจริงที่โลกนี้จะผลิตได้ ผลก็คือ การเปลี่ยนถ่ายมูลค่าทรัพย์สินจากคนกลุ่มหนึ่งไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นเอง หรือ เรียก ภาษาชาวบ้าน คือ การที่ทรัพย์สินของคนทั่วไปถูกสูบ หรือ ถูกทำให้ลดมูลค่าอย่างรวดเร็ว เพื่อชดเชยส่วนเพิ่มให้กับคนกลุ่มนั้นๆนั่นเอง  ดังนั้น ใครที่มองว่าเราอยุ่ห่างไกล อาจจะภาพได้จากตัวอย่างนี้ เช่น มูลค่าที่ดินของเราแถวสีลมจากเดิม 10 ล้าน วูบลงเหลือซื้อขายกันแค่ 5 ล้าน ดังนั้นจากเมื่อก่อนเราเอาที่ดินไปวางค้ำประกัน เพื่อจะนำหลักทรัพย์ประเภทต่างๆเช่นเงินสด หรือ อื่นๆ ไปต่อยอด ทางกิจกรรมประโยชน์ของเราก็จะทำได้น้อยลง เป็นต้น
หรือแม้แต่การลดมูลค่าเงินในกระเป๋าเราลงมาเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อเมื่อรัฐบาลของแต่ล่ะประเทศต้องอัดฉีดเงินเพื่อบรรเทาความเสียหายทางด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้เรารุ้สึกว่าข้าวของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันราคาแพงขึ้นอย่างมากเป็นต้น

ท้ายนี้ทำไมหัวข้อบรรยายของผมถึงใช้ชื่อนี้ เพราะ แสดงให้เห็นว่าWarren buffet ได้เป็นผู้เริ่มคำศัพท์อันนี้เป็นผู้ที่มี Visions ยาวไกลมาก 

ส่วนใครที่อยากทำความเข้าใจอาวุธทางการเงินเบื้องต้นให้เข้าไปศึกษาพื้นฐานได้จากตรงนี้ก่อนครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Credit_default_swap ก็จะเห็นโครงสร้างของโมเดล ว่าเป็นแนวทางแบบไหน และ นี่เองเป็นจุดประกายไอเดียสำหรับ อาวุธ ทางการเงินใหม่ในอนาคตที่ร้ายแรงและรุนแรงกว่า 

5 comments:

keerati said...

น่าสนใจมากๆ ครับ จะรออ่านนะครับ

HaBee said...

ขอบคุณครับพี่

บี

keerati said...

เข้าใจผิด นึกว่ามีต่อ :P แต่หัวข้อนี้ยิ่งทำให้ผมต้องคิดเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพเลยนะเนี่ย

Kongza said...

ผมพึ่งสนใจอาชีพTraderไม่นาน อยากให้พี่mudleygroupแนะนำ หนังสือtradingที่ควรอ่านครับ ขอบคุณมากครับ

โหน่ง said...

น่ากลัวแค่ไหนก็เคยเกิดมาแล้ว
จะมีอะไรให้น่ากลัวอีกครับ
คนปรับตัวเสมอ อะไรที่คาดหวังแล้ว
แถบจะไม่มีผลแล้ว
ผมอยู่ในธุรกิจหนังสือพิมพ์
มีอะไรน่ากลัวกว่า madness ของฝูงชนอีกครับ
ผมอ่านตามที่ wiki แล้ว ผมโงอ่านไม่เข้าใจเลย
คิดถึง ว่า Hitler จะเข้าใจไหม
สงสัยทำไมเขาถึงชอบอ่านงานของ Le Bon
ไม่มีใครน่ากลัวกว่าเขาแล้ว เพราะ อคติ ล้วนๆ
มันน่ากลัวมากกว่า CDs อีกหลายร้อยเท่า
Buffett ไม่เท่าไหร่หรอกครับ
Charlie Munger พูดถึงเรื่อง loolapalooza ก่อนเหตุการณ์ suprime หลายปี
อคติของคนไม่ใช่สิ่งให่ม่หรอกครับ
เพียงแต่วิธีหลอกล่อใหม่ๆ เท่านั้นเอง 55555

In the beginner's mind there are many possibilities. In the expert's mind there are few.
— Zen master Shunryu Suzuki

Simplicity means the achievement of maximum effect with minimum means.
— Dr. Koichi Kawana

"Any intelligent fool can make things bigger, more complex and more violent. It takes a touch of genius and a lot of courage to move in the opposite direction"
— Albert Einstein.