Wednesday, February 24, 2010

แนวทางมาตรฐานการฝึกซ้อมของเทรดเดอร์ในเฮดจ์ฟันประเภท Close fund

มาตรฐานการฝึกซ้อมของเทรดเดอร์ในเฮดจ์ฟันประเภท Close fund ต่างๆ

ว่าจะมาต่อตอน 3 สักที แต่ไม่ได้ต่อ ต้องขออภัยหากไม่ได้ตอบ อีเมลล์นะครับ เพราะ เยอะจนผมงง ไม่รุ้จะตอบยังไง งวดนี้คงต้องเบาเนื้อหาลงหน่อย เพราะรุ้สึกจะมีน้องๆ ที่อยากจะเป็นเทรดเดอร์และฝึกฝนเมลล์เข้ามาเยอะเหลือ ประมาณว่า แหม พี่ เนื้อหาพี่มันยากเกินไปนะครับ ค่อยๆปูพื้นฐานให้พวกผมด้วย ประมาณอยากจะฝึกฝนแต่ไม่มีคนชี้แนวทางให้ในบ้านเรา 5555 โอเค ครับ น้อมรับ คำแนะนำครับ ก็ถูกอย่างที่น้องๆว่า อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แนวทางให้น้องๆและเพื่อนๆคนอื่นๆได้มากกว่าก็โอเคครับมาว่ากันเล้ย แต่อย่าดุพี่มากน้า พี่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร เขียนเนื้อหาในเฮดจ์ฟันมันเร็วดี เพราะ คุ้นเคย และปฏิบัติมา อิอิ J

หลายคนอยากจะเป็นเทรดเดอร์ ก่อนอื่น ต้อง Concept คร่าวๆ ระดับแรกของอาชีพนี้ก่อนนะครับ

คำว่า Trader นั้นใช้ในหลายๆวงการมาก ยกตัวอย่างเช่น Broker ก็จะเป็นผู้ที่รับคำสั่งซื้อขาย ซึ่งบางที่ เทรดเดอร์ก็มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อขายด้วยเช่น proprietary trader ซึ่งตัดสินใจซื้อขายบนงบประมาณที่บริษัทมีให้ บางที่ก็รับแค่คำสั่งอย่างเดียวไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นต้น

เส้นทางชีวิตของเทรดเดอร์นั้นช่วงเริ่มแรกค่อนข้างจะลำบากมาก และ มักจะมีผู้ถึงฝั่งฝันที่หวังไม่ถึง 10% ของจำนวนผู้เริ่มต้นตอนแรก (ตามสถิติของ Aima ) แต่ถ้า Trader นั้นมี โค้ช ดี โอกาสสำเร็จก็จะพุ่งขึ้นถึง 70% ในกลุ่ม Trader ที่มี โค้ช นี่เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมที่อเมริกาหรือยุโรปจึงมีโค้ชสำหรับเทรดเดอร์ในการฝึกโดยเฉพาะ ถึงขนาดมีนักจิตวิทยา นักคณิตศาสตร์ และ นักวิทยาศาสตร์ เฉพาะกองทุนเฮดจ์ฟันกันเพื่อการนี้เลยทีเดียว

ผมค่อนข้างจะเข้าใจความรุ้สึกน้องๆหลายคนดี เพราะขนาดนักกีฬายังมีโค้ชเลย ถ้าไม่มีคนแนะนำพื้นฐานที่ถูกต้องย่อมทำให้เราหลงทางได้ และการวางพื้นฐานนั้นเป็นหัวใจสำคัญเสียด้วยสำหรับอนาคต หลายคนยังมีพื้นฐานไม่เพียงพอ แต่ก็กระโดดข้ามขั้น ไปจึงทำให้เส้นทางชีวิตเทรดเดอร์นั้นต้องยุติไปอย่างน่าเสียดายก็มีอยุ่มากมาย

เพื่อไม่ให้เสียเวลาเข้าเนื้อหากันดีกว่าครับ

ตัวอย่างแนวทางการฝึกเทรดเดอร์อาชีพ

1. ความอดทน ในการ ควบคุมตนเองและจิตใจ

เพราะขึ้นชื่อก็บออยู่แล้วว่าเทรดเดอร์ดังนั้นการจะต้องเจอราคาเคลื่อนไหว หน้าจอมายั่วยุ นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นความอดทนในการควบคุมตนเองจึงถือเป็น Skill พื้นฐานที่สำคัญเลย เพราะหลายคนถ้าหลุด ตบะ แตกไปแล้ว มักจะพาให้ระบบเสียไปเป็นพรวน การควบคุมตนเองนั้นเราจะฝึกได้อย่างไรบ้าง

ขั้นแรกต้องฝึกควบคุมขัดขืนในสิ่งที่เราต้องการจะทำอยุ่เสมอแบบอดใจไม่ได้ เห็นเป็นต้องทำ ไม่งั้นจะลงแดงได้ เช่น ของ ผม สมัยอยู่อเมริกา เทรนเนอร์จะเห็นว่าเป็นคนที่ติดการ์ตูนรายสัปดาห์ กับ เกมส์ ค่อนข้างมากเมื่อก่อน โดนสั่งให้ต้องย้ายไปนอนรวมกับเทรดเดอร์คนอื่นที่ห้องพัก ซึ่งไม่มีทั้งเกมส์ทั้งการ์ตูน เน็ตก็ต่อไม่ได้ เมื่อคนเราต้องโดนควบคุมอะไรบางอย่างที่เราชอบทำจนเป็นนิสัยแล้ว แน่นอนต้องใช่พลังในการคอนโทรลตัวเองอย่างมาก ซึ่งถ้าผมทำไม่ได้ออกจากห้องของเพื่อนเทรดเดอร์อีกคนไปเมื่อไรก็จะโดนปรับวันล่ะ 50$ จำได้ว่าด้วยความ เสียนิสัยอย่างรุนแรงของผม ผมต้องจ่ายค่าปรับในเดือนแรกไปถึงราวๆ 1000$ ด้วยกัน!!!!!!! แน่นอนตอนสมัยนนั้นเงินผมก็ยังไม่ได้มากมายอะไรสำหรับที่อเมริกา แถมยังไปอยุ่ในตลาดเสียหมด ยิ่งทำให้สถานการณ์บีบคั้นลำบากขึ้นไปอีก ลำพังเงินเดือนจากการเทรนนิ่งก็น้อยอยุ่แล้ว ยิ่งทำให้ผมต้องไปหางานเสริมทำ( เพื่อนๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็จะบอกว่า โห...อะไรกันแค่เกมส์กับการ์ตูนเอง คือ ธรรมชาติของมนุษย์จะมีลักษณะนิสัยที่ชอบทำบางอย่างอยุ่อย่างมากโดยไม่รู้ตัว นักจิตวิทยาเค้าจะเรียกว่าอาการเสพติดความชอบ ซึ่งถ้าความชอบเหล่านั้นถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็จะช่วยส่งเสริม ถ้าไม่ดีก็จะช่วยฉุดรั้งเราเอาไว้ ซึ่งในที่นี้เทรนเนอร์ไม่ได้หมายความว่า การ์ตูนกับเกมส์เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ เค้าเพียงจำลองให้เห็นว่าเกิดสมมุติมันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องโดนทำโทษ ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์เหล่านั้นไหวมั้ย แน่นอนช่วงแรกทำไม่ได้ คนเราจะยอมเจ็บตัวบางอย่างเพื่อให้ได้ตามใจที่มันเรียกร้องอยุ่ จนถึงจุดหนึ่งน่ะครับที่มันทำร้ายเรามากพอเราก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงและเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วเราจะคอนโทรลความอยากของเราได้ )

2. การให้รางวัลเมื่อทำตามวินัยและแผนการ ด้วยตัวความอยาก

หลังจากตั้งใจเปลี่ยนกิจกรรมตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ ทำตัวดีตามวินัยทุกอย่าง จำได้ว่ากลายเป็นนัก poker และฟิตวิชาการเพราะไม่มีอะไรให้ทำจนกลายเป็นนักคณิตศาตร์ไปเลย เทรนเนอร์ตัวแสบ ก็บอกทำได้ดีมากจะให้รางวัล เป็นเสาร์อาทิตย์กลับไปที่ห้องพักเล่นเกมส์ดูการ์ตูนได้ตามใจชอบ โอ้...ชีวิตมันโหดร้าย เพราะเหมือนคนที่เพิ่งเลิกยาเสพติดได้ โดนให้กลับไปเสพอีกเพื่อเป็นรางวัล นี่ถือเป็นความโหดร้ายอย่างมากต่อจิตใจของคนเรา เพราะนั่นทำให้ผมไม่สามารถที่จะตัดมันได้อย่างแน่แท้ภายในอนาคต เพราะผมก็คนปกติเหมือนกัน มีความชอบ ความอยาก และแน่นอนอย่างที่เทรดเดอร์มือใหม่คนนี้คาดการณ์ไว้ ตัวเองเริ่มกลับมาโดนปรับอีก เพราะการ์ตูนมันออกมาหลายตอนมาก ตามอ่านไม่หมด เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือเก่งอะไรเลย ผมก็เป็นเฉกเช่นคนทั่วไปเนี่ยหล่ะ การควบคุมตัวเองยังทำได้ไม่ดีด้วยซ้ำ เมื่ออาการมาถึงตรงนี้ร่างกายจะสร้าง Ego มหึมาขึ้นมาเพื่อปกป้องความเชื่อของตัวผมเอง เฮ้ย...เทรนไรเนี่ย ไร้สาระ อั๊วตอนนั้นแข่งหุ้นทั้ง 3เดือนได้ที่ 1 ตลอดนะเว้ย บริหารพอร์ตให้ฝรั่งก็ทำมาแล้ว อย่ามาทำไรไร้สาระแบบนี้ เห็นมั้ยครับ อัตราความโง่ของเด็กคนหนึ่งเริ่มบังเกิด นั่นหล่ะสงครามระหว่างเทรนเนอร์กับเทรดเดอร์โง่เขลาคนนี้ก็เริ่มเกิดขึ้น ผมก็ด้วยความอีโก้สูงมั่นใจในตัวเองแน่แท้แล้ว บอกโห ไร้สาระมากไม่เกี่ยวกับการเทรดหรอก เทรดเดอร์มันอยุ่อยุ่ที่ skill เทรด เทคนิคผมรู้หมด แต่พอเวลาผ่านไประหว่างที่ผมก่อกำแพงปิดกั้นอยุ่นั้น พอร์ตเทรดเดอร์คนอื่นก็แซงผมไปเรื่อยๆ จนผมอยุ่ที่โหล่ ผมหาสาเหตุไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเลยทำไมกัน ผมศึกษาทุกรุปแบบของเทคนิคแล้วนะ จิตวิทยาผมก็เรียนรุ้มา Money Management ผมแบ่ง positions ได้ดีแล้วนี่นา ทำไมผมถึงต้องรั้งท้ายแบบน่าเกลียดด้วย (ช่วงนี้หล่ะครับจะอยุ่ที่ว่าคนผู้นั่นจะลืมตามองดูโลกที่แท้จริงได้เร็วแค่ไหน ผมคงได้เพื่อนดีด้วย เพื่อนรัสเซียขาหมากรุกฝรั่งที่ผมชอบเล่นกับเค้าประจำ บอกว่า ยูมันเก่งเกินไป คนเก่งมันเอาตัวรอดไม่ได้หรอก เพราะมันจะรู้ไปหมดทุกอย่าง ทำนั่นก็รู้ ทำนี่ก็รู้ สุดท้ายยูเลยไม่ได้รู้เลยว่าคนอย่างพวกไอเรียนรุ้อะไรกันบ้าง ทำไมยูไม่ลองโง่ดูบ้างล่ะ เมื่อก่อนยูก็โง่มาก่อนนี่นาถึงมาได้ขนาดนี้ แล้วไมตอนนี้ต้องจะฉลาดขึ้นซะงั้นล่ะ ) อ่า แทงใจ ย้อนอดีต เห็นถึงว่าตัวเองเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ยุคสมัยแรกก็ติดหุ้นแล้วติดหุ้นอีก แอบเรียนวิชาจากเว็ปบอร์ดในพันทิพมาก่อน แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เนี่ย ผมเลยเข้าใจเลยว่าบางทีคนเราเนี่ยสามารถลืมตัวได้ทุกคน และ ณ.จุดที่คนเราเริ่มลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญเหล่านั้นไปเนี่ย อันตรายจะเริ่มมาเยือน ผมเห็นภาพการล่มสลายของหลายอาณาจักรที่ผู้ปกครองลืมตนหลังจากประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ทันที ผมนี่โง่กว่ามากเลยยังไม่ทันประสบความสำเร็จอะไร แค่ชัยชนะเล็กๆน้อยก็ลืมตัวเสียแล้ว เปรียบได้คงแม่ทัพชั้นปลายเถวคนนึงเลย ตอนอ่านสามก๊กก็ดั๊นไปวิจารณ์กวนอูว่าลืมตัว โห..นี่เรายังไม่ได้ชนะบ่อยเท่าเค้าก็ลืมตัวซะแล้ว เค้าเรียกอะไรน้า ถ่มน้ำลาย รดฟ้ามั้งเนอะ (โอเคหลังจากนั้นผม กลับมาเทรนต่ออีกครั้ง)

3. เปิดใจเรียนรู้ทุกศาสตร์ที่จำเป็นต่ออาชีพของเรา

หลังจากที่กลายเป็นคนที่ควบคุมความอยากความต้องการของเราได้แล้ว สิ่งที่ผมต้องเรียนรุ้ต่อ คือ เอาอีก เทรนเนอร์ ตัวแสบ ให้ผม list วิชาความรู้ที่ผมถนัดในการเทรดมาทั้งหมด ได้เอา list ไปเลย

- Technical Analysis

- Mathematics and Money Management for trader

- Risk Management

- Psychology

- Reflexivity Theory (ยังไม่วายเขียนไปแกล้งมาน)

- Macro Economic

หลังจากนั้นไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าผมจะต้องศึกษาพวก Valuation กับ เศรษฐศาสตร์ของ มาร์ก เฮ้ยนี่มันแกล้งกันหรอในใจคิดอีกแล้ว หนังสือ warren buffet -*- แล้วมีหนังสือของเบนจามินเกรเฮมอีก ซึ่งผมพยามจะหลบเลี่ยงมาโดยตลอด แล้ว มาร์ก นี่มัน คอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ (เทรนเนอร์ผมบอกว่า เทรดเดอร์ ทุกคนนั้นจะมีสิ่งที่ถนัดและชอบกันอยุ่ทุกคน แต่ในความเป็นมืออาชีพแล้วทุกคนต้องสามารถปฏิบัติงานได้ทุกตำแหน่งตามแล้วแต่โค้ชจะสั่งซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี แน่นอนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของคุณนั้นจะได้ใช้อยุ่แล้ว เมื่อคุณจะออกไปมีกิจการหรือทำของตัวเอง ดังนั้นเป็นการดีที่คุณจะเปิดใจเรียนรู้ด้านอื่นๆในระหว่างนี้ไปด้วย ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจความคิดของผู้คนทั้งหลายในตลาดได้ง่ายขึ้นด้วย) ตอนนั้นนึกในใจ ด้วยอีโก้ที่ยังค้างอยุ่บ้าง 55 ไม่ให้ตูศึกษาพวกข่าวตามช่อง cnbc ได้ด้วยเลยล๊า ข่าวลือด้วยมั้ย

โอ้มันไม่ใช่แค่ศึกษาแล้วมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงระบบการเทรดในพอร์ตที่ผมดูแล จะต้องซื้อขายด้วยหลักการ valuations เท่านั้น แล้วต้องส่ง report ว่าด้วยเหตุผลการซื้อขายอย่างละเอียด -*- เฮ้ย จบกัน จำได้ว่าช่วงนั้นผมลองผิดลองถูกจนจับหัวใจบางอย่างมาใช้ในการเทรดในตลาดหุ้นอเมริกาได้เลย คือ เราต้องเลือกบริษัทที่มี cash flow ที่แน่นอน และต้นทุนของบริษัทไม่ผันผวนมากนัก ดังนั้นหุ้นของผมเวลาฟื้นตัวจากราคาตกต่ำจะไปแรงกว่าคนอื่นเสมอ เพราะจริงๆแล้วระหว่างที่ปัจจัยจิตวิทยามากระทบต่อตลาดนั้น การดำเนินงานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยนัยยะสำคัญเลย บริษัทยังเก็บกระแสเงินสดได้ตลอดเหมือนกับ kzm ที่เก็บกระแสเงินได้ทุกวันยังไงอย่างนั้นเลย อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราไม่จำเป็นต้องเก็บส่วนต่างของราคาหุ้นในตอนแรกก็ได้ กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอที่บริษัททำได้ก็จะเปรียบเสมือนเช่นเดียวกัน หากบริษัทไม่มีต้นทุนที่ผันแปรมากนัก ดังนั้นเมื่อผมถูกส่งเข้าไปแข่ง nasdaq competitions โดยห้ามเทรดดิ้งแล้ว โอเค ผมก็เล็งหาบริษัทที่มีเรทผลตอบแทนจาก cash flow ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ในช่วงที่ตลาดมีปัจจัยแย่มากๆ สุดท้ายผมจบลงด้วยที่ 15 จากเทรดเดอร์ทั้งหมด 370 คนมั้ง โดยแทบไม่ได้ซื้อขายเลย ระหว่างที่คนอื่นซื้อขายกันยิกๆ

4. เรียนรู้ระบบของผู้สร้าง

-จริงๆน่าจะอยู่ในหัวข้อที่ 3 แต่ผมแยกออกมาแล้วกัน มาร์ก เอามาทำไมเนี่ย มันคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรอ (เทรนเนอร์ผมบอกว่า คนเราเนี่ยจะโจมตีแนวคิดของคนอื่นได้แบบมีเหตุมีผลเนี่ย แสดงว่าคนนั้นต้องพยามศึกษาแนวคิดของคนที่ตัวเองมาไม่ชอบแล้วอย่างดี จนกระทั่งพบจุดบกพร่องบางอย่างของระบบนั้นๆ ดังนั้นเวลายูมองโลกเพื่อให้เห็นความเป็นจริงว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้มองด้วยผลจากการกระทำของผู้คน ทำไมคนชนชั้นนายทุนพยามไม่ให้หนังสือเศรษฐศาสตร์ของมาร์กเผยแพร่หล่ะ เค้ากลัวอะไรอยู่ เวลาเรามองคนต้องมองให้ลึก เปรียบตัวอย่าง ศาสนจักรกลัวว่าตนเองจะเสื่อมอำนาจลงก็จับนักวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นไปเผา เพราะกลัวว่าผู้คนจะเรียนรู้ความจริงแล้วตัวเองมาสร้างศรัทธาจากความกลัวของผู้คนในยุคนั้นไม่ได้เป็นต้น อำนาจของกลุ่มตัวเองก็ลดน้อยถอยลง เนี่ยหล่ะผู้คนยูจำเอาไว้เลย คนไม่เคยเปลี่ยน ทำอะไรเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและกลุ่มเสมอ) ดังนั้นเมื่อผมศึกษาหนังสือของคาร์ลมาร์กซ์ผมก็พบว่าทุนนิยมนั้นมีจุดอ่อน โดยเฉพาะการเชื่อมตัวของมูลค่าตัวสินค้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้านั้นแปรเปลี่ยนได้ง่าย และจุดอ่อนเหล่านั้นหลายผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันชั้นแนวหน้าพยามบอกให้เราแก้ไขปรับปรุงอยุ่เสมอ แต่เพราะอะไรกันคนผู้มีอำนาจถึงยังเพิกเฉยกันอยู่ล่ะ ก็เพราะทุกครั้งที่เราเปลี่ยนรูปแบบหรือกฎกติกาขั้วอำนาจก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจจึงพยามรักษาสเถียรภาพของตัวเองไว้ให้นานที่สุด

สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่สำคัญที่น้องๆควรจะต้องฝึกไว้บ้างครับ จาก ตย เราจะมาประยุกต์ใช้กับเราอย่างไร

1.สร้างระบบเทรดที่เราคิดว่าเรามั่นใจในตัวระบบแล้วขึ้นมา ถ้าเราทำตามระบบได้แบบไม่มีอารมณ์เข้ามาเทรกได้ใน 1 เดือน ให้ ให้รางวัลด้วยตัวเองกับสิ่งที่เราชอบมาก ที่เรียกว่าขาดไม่ได้ หากเราทำตามระบบไม่ได้แล้วยังแอบไปทำสิ่งที่เราขาดไม่ได้อีก ก็ต้องหาบทลงโทษที่ให้เรารุ้สึกครับ เพราะน้องๆไม่มีคนมาคอยควบคุม ต้องรูว่าถ้าเราคุมตัวเองไม่ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่เราจะสร้างความได้เปรียบในวงการเทรดเนี่ยก็ยากขึ้นไปอีก เพราะเค้าวัดตรงการพลาด และการหลุดการควบคุม หลายๆกองทุนทำมาดีตลอดพลาดท่าหลุดไป 2-3 ครั้ง ถึงกลับทำให้ผู้จัดการกองทุน เสีย Self หลุดโลกทำเจ๊งไปเลยก็มีมาก ซึ่งถ้าเราทำตามระบบที่เราคิดเนี่ยเราจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยุ่ เราพลาดอะไรไปหรือปล่าว ที่ตัวระบบของเรา การปรับแก้ที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น หากเราเสียเพราะไม่ทำตามระบบทำด้วยอารมณ์ก็จะทำให้เราแก้ไปไม่ตรงจุดเลย

2.พยามหาข้อได้เปรียบของระบบเกมส์การเงินให้ได้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญของเทรดเดอร์ ทุกอย่างที่มนุษย์สร้างหรือกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมามีจุดอ่อนเสมอ การหาจุดอ่อนไม่ใช่การไม่ทำตามกติกาหรือกฎหมายนะครับ เราต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ผมยกตัวอย่างหมากรุกแล้วกัน ถ้าเราจดจำรุปแบบหมากต่างๆได้หมด เราก็ได้เปรียบคนอื่นอย่างมากเป็นต้น ซึ่งหมากรุกเป็นตาราง 8*8 ยิ่งเราจำรุปแบบหมากกลต่างๆได้มากเท่าไรเราก็ต้องใช้ความคิดเพิ่มเติมน้อยลงไปเท่านั้น เช่นเดียวกัน ในตลาดหุ้นนั้น จำนวนหุ้นนั้นมีจำนวนจำกัด ไม่ได้พิมพ์กันออกมาทุกวัน ด้วยการคาดการปริมาณเงินหมุนเวียนที่มีในระบบ หรือ fund flow ที่สามารถซื้อหุ้นได้ เราก็จะรุ้ได้เลยว่าราคาขั้นต่ำมันจะอยุ่ราวๆไหนเป็นต้น ซึ่งหากเงินมันไหลออกนอกระบบไปมาก โอกาสที่ราคามันจะต่ำลงก็สูงขึ้นเพราะกำลังซื้อมันไม่พอ แต่ถ้าเงินไม่ไหลออกไป แต่มีเพิ่มเข้ามาด้วยปริมาณหุ้นเท่าเดิมโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมาก หลักการพื้นฐานนี้ใช้ได้เสมอในทุกตลาดทุนทั่วโลกรวมทั้งตลาดอย่างอเมริกาด้วย ทีนี้เราก็จะต้องแก้โจทย์ต่อไปเราจะรุ้ได้ไงว่าเค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ โอเคถ้าเป็นรายย่อยขายถือเงินเนี่ย โดยมากไม่นานก็ซื้อไม่เกิน 1 ปีหรอก บางคนถือเงินสด 2 สัปดาห์ก็ทนไม่ไหวแล้ว อำนาจการต่อรองราคาของรายย่อยเลยน้อยตาม เพราะต้องการที่จะนำเงินสดไปลงทุนหมุนเวียนต่อยอดอยุ่ตลอดเวลา เพราะทนถือเงินได้ไม่นาน แต่ถ้าเป็นฝรั่งเอาเงินออกไปเนี่ยโจทย์จะเปลี่ยนทันที เค้ามีตัวเลือกที่ดีกว่ามั้ย กำไรที่เค้าได้เค้าเอาไปกอดถือไว้เฉยๆลงทุนในพันธบัตรที่ดอกเบี้ยเพิ่งปรับขึ้นเพื่อรอต่อรองราคาก็สามารถทำได้เช่นกัน เป็นต้น หรือแม้แต่ในหุ้นที่เราสนใจเค้าซื้อขายเปลี่ยนมือกันที่ระดับราคาเท่าไรบ้าง ผมก็บันทึกเอาไว้หมดเป็นต้น เลยรุ้ว่าราคาที่ซื้อขายอยุ่ตรงไหนกันบ้าง ตรงไหนเป็นช่องว่างที่คนไม่ค่อยซื้อขายกัน โอกาสราคาจะสวิงในช่วงนั้นก็มีสูง เพราะไม่ค่อยมีต้นทุนจากผู้ถือหุ้นที่จะขายทำกำไรออกมาเป็นต้น

นอกจากขั้นพื้นฐานเหล่านี้แล้วพี่ยังแนะนำต่อไปอีกเพื่อที่เราจะได้พัฒนาได้ดีกว่าฝรั่ง

3.สมาธิ เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าน้องฝึกสมาธิทุกวัน จะส่งผลให้การทำงานของสมองเปลี่ยนไป ระบบการเรียนรู้และความเข้าใจของเราจะทำได้ดีขึ้น ซึ่งการทำสมาธิก็คือการปรับเปลี่ยนคลื่นสมองของมนุษย์เรานั่นเอง ทั้งยังส่งผลต่อระบบอารมณ์และการเข้าใจตนเองอย่างมากด้วย

4.หนังสือคู่มือเทรดเดอร์ที่ดีที่สุด ก็คือหนังสือ พุทธธรรม ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เล่มใหญ่ ของ ท่านพระธรรมปิฏก ป.อ. ปยุตโต หลายคนสงสัยทำไมผมถึงชอบแนะนำหนังสือเล่มนี้ จริงๆหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะเรียกได้ว่าถอดเนื้อหาตามหลักที่สำคัญของพระไตรปิฏกมาหมดก็ว่าได้ เรียกได้ว่าพุทธรรม คือ หนังสือที่ว่าด้วย กฎความจริงของธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น มนุษย์ซึ่งเป็นซับเซ็ตของธรรมชาติ ก็ย่อมหลีกหนีกฎเกณฑ์ความจริงเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน การที่เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติ + สมาธิ แล้ว ย่อมสามารถทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาเจริญปัญญาและจิตใจจนถึงขั้นมากที่สุดเท่าที่ธรรมชาติจะมอบสิ่งนั้นให้เราได้ เพื่อที่ภายในอนาคตเราจะสามามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมายในเส้นทางที่เราจะเลือกเดินไม่ว่าจะทางธรรม ทางโลก หรือ แม้แต่ทางสายวัตถุ หรือ จิตใจ ก็ตาม

5.ความรู้ความชำนาญและความจริง มาจากการปฏิบัติ 70% ความคิด 30% และอย่าเชื่อผู้เชี่ยวชาญในวงการมากนัก พยามดูว่าสิ่งที่เค้าสอนนั้นปฏิบัติแล้วใช้ได้จริงหรือไม่ แล้วดูคนเก่งๆว่าเค้าปฏิบัติอย่างไรอย่าดูที่เค้าพูด เพราะคำพูดมันสร้างสรรค์กันได้ บัฟเฟตเองก็ยังมี positions ในตราสารอนุพันธ์คิดเป็นมูลค่าแล้วราวๆ 40% ของ Profit sharing เลยทีเดียว แม้กระทั่งปรมาจารย์เทคนิคบางท่านของฝรั่ง แต่กลับไม่ลงทุนเองนำเงินจากการขายหนังสือไปลงทุนกับเฮดจ์ฟันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เรามองเห็นอะไรบางอย่างในโลกนี้มากขึ้นหรือไม่ เมื่อสายตาเรามองอย่างปราศจากอคติ เป็นต้นครับ

6.อย่าลืมตัวว่าเก่งแล้วรุ้แล้วเด็ดขาด (อันนี้สำคัญมาก อย่าเป็นเหมือนพี่) สมองของมนุษย์เนี่ยมันทำงานตามความเชื่อและความคิดของเรา มันเป็นโปรแกรมอัติโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเป็นธรรมชาติของร่างกายที่มันออกแบบมาอย่างนั้น มันจะทำให้เราหยุดการเรียนรุ้และพัฒนาอย่างทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนหยุดพัฒนาการลงไป ให้น้องๆพยามนึกถึงว่าเมื่อก่อนเราเป็นเช่นไร เราเรียนรุ้มาอย่างไร ถึงได้พัฒนาตัวเองได้ แน่นอนอาการลืมตัวจะค่อยๆหมดไปถ้าเราฝึกสมาธิได้ในระดับที่ดีมากๆแล้วเพราะเราจะเริ่มเรียนรุ้ความจริงของธรรมชาติเองว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร แต่ก่อนที่เราจะมีสมาธิในระดับที่ดีแล้วก็ห้ามลืมกฏข้อนี้ครับ

เขียนมาเยอะเลยไม่ได้เรียบเรียงเขียนจากประสบการณ์และความเข้าใจจากไดอารี่ หวังว่าพอเป็นไอเดียและประโยชน์กับน้องๆเทรดเดอร์หน้าใหม่ในวงการได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ กว่าจะมาเขียน market model คราวหน้า พี่ก็คงคิดว่าอีก 2-3 เดือนมั้งครับ แล้วเจอกันอีก 2-3 เดือนข้างหน้านะครับ

ปล. พี่อาจจะเขียนประสบการณ์ได้ไม่ครบถ้วนหรือครบถ้วนก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะว่า เอาแต่ส่วนเนื้อหาที่อยุ่ในไดอารี่ส่วนตัวมาเขียน เท่านั้น เนื่องจากพี่มีปัญหา Effect เกี่ยวกับระบบความทรงจำหลังจากการสะกดจิตที่อเมริกาและการกินยาบางอย่างเพื่อช่วยในการสะกดจิต ในระหว่างการเทรนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการเป็นเทรดเดอร์ และข้อเสียของมันทำให้ความทรงจำของพี่ ค่อยๆเริ่มเลือนหายไปหมดเลยเหมือนมันลบไปเองได้ ตอนนี้จำได้คร่าวๆถึงแค่ตอน ม.6 เลือนลาง ตอนมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ๆก็เริ่มจะหายไปมากๆแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นการยืนยันอีกเสียงว่า วิธีสมาธิยังไงก็ดีกว่าวิธีของฝรั่งครับ J

21 comments:

sorawish said...

ขอบคุณมากครับ

ว่าแต่ฝรั่ง นี้โหดจริงๆนะครับ ถึงขั้นสะกดจิตและให้กินยา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ สุดๆไปเลย

นี่แสดงว่า การแข่งขันระหว่างเฮดฟันด์ นี้ดุเดือดมาก

ผมขอถาม 2เรื่องครับ

1.เรื่องกลยุทธ์ ที่ อ.มัด เคยเล่า เกี่ยวกับดาบสั้นดาบยาว เราสามารถต่อยอดอีกได้ใหมครับ

กลยุทธ์ยังมีประเภทอื่น อีกใหมครับ ที่เราพอจะพัฒนารูปแบบ ของเราได้อีก

พอจะมี หนังสือที่เกี่ยวข้องแนะนำใหมครับ

2.ความแตกต่างในการเทรด ของ หุ้น ETF สินค้าล่วงหน้า สัญญาล่วงหน้า และ Forex

คือ สมัยก่อนผมมักจะเข้าใจว่า ทุกอย่าง สามารถใช้วิธีการเทรด และวิเคราะห์ทางเทคนิค แบบเดียวกันได้

แต่ต่อมาจึงพอจะรู้สึกว่า แต่ละตัวไม่สามารถใช้วิธีวิเคราะห์ การวางกลยุทธ์ แบบเดียวกันได้เลย

แต่ละตัวแต่ละตลาดดู จะมีเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน (แม้แต่หุ้นหลายตัว ยังวิธีเดียวกันไม่ได้)

ปัญหาของผมคือ ผมแค่รู้สึกว่ามันต่าง
แต่ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว มันมีเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่ชัดเจน แตกต่างกันอย่างไร ครับ


ขอบคุณมากครับ ขอให้โชคดี

sorawish said...
This comment has been removed by the author.
ดอกไม้ DSM said...

ขอบคุณมากครับ

คุณ MudleyGroup เขียนยาว

โดนใจมากเลย

kindly said...

บทความนี้ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตามากๆเลย ขอบคุณมากนะครับที่แชร์ประสบการณ์ดีๆแบบนี้ ขอบคุณครับ

chana said...

เจ๋งโคตร เลยครับ

balperfect said...

ขอรบกวนถามหน่อยครับพี่ต้าน

ถ้าสำหรับ day trader แล้ว วิธีการเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ สำหรับการฝึกฝน

และรบกวนช่วยแนะนำเครื่องมือทางเทคนิคสำหรับเดย์เทรดเดอร์(ตลาด NYSE) ให้หน่อยครับ

ขอบคุณมากครับผม

Anonymous said...

ขอบคุณครับพี่ ^ ^

Anonymous said...

พี่มัดเล่คิดว่า

การแลกความสามารถ ด้วยความทรงจำที่มีค่า

มันคุ้มกันหรอครับ

เก่งเทียมฟ้า หากแต่จิตใจภายในหว้าเหว่

ลืมเพื่อนๆสมัย มัธยม มหาลัย ช่วงเวลาสำคัญ

ผมคิดว่ามันน่าเสียดายนะครับ

สุดท้าย

ขอขอบคุณสำหรับน้ำใจของพี่ที่ยินดีแนะนำ

สอน แนะแนวทาง ครับ

และ

ขอให้พี่มีความสุขมากๆนะครับ ^ ^

Anonymous said...

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3114853/I3114853.html

แปะให้พี่ เผื่อลืมอดีตตัวเองครับ ^ ^

Anonymous said...

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3114853/I3114853.html

แก้ข้างบนครับ

หน้าแตกเลยเรา = =

Anonymous said...

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock
/I3114853/I3114853.html

แก้ๆ T_T

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับ...
ยังติดตามอ่านอยู่เสมอ...
ตาลาย..

tea_for_two said...

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ มีประโยชน์มากเลยครับ

Anonymous said...

ดูคล้ายๆjason bourneเลยนะคับ...

... said...

ขอบคุณมากครับ

Plamuek76 said...

ขอบคุณมากครับ
มีประโยชน์มากๆ ^^

Unknown said...

อีก 2-3 เดือนเลยรึครับ กว่าจะได้อ่านอีกที
ผมสนใจย่อหน้าสุดท้ายเรื่องกินยามากกว่า
ฟังดูน่ากลัว และดูเป็นฝั่งทุนนิยมมากๆๆ
ถ้าหากเล่าได้ อยากให้ช่วยเล่ารายละเอียดหน่อยครับ
ขอบคุณครับ

Anonymous said...

ขอบคุณครับ

Unknown said...

Read!

mcshuxea said...

k5f26c2p71 j1n45u5z20 t3h39t9f46 x2e25x1z90 n9x90x6p72 e9j92z0y69

nasadee said...

y1k93e9w87 c2w92b0s97 r6t49a0t20 p7k87q1z23 m7e35z6a94 r0n73d4m94